ทริปทุ้มหน่วง ที่ภูเวียง.

สวัสดีครับท่านผู้อ่านที่รัก วันนี้ผม Kkanq9. จะมาบอกเล่าเรื่องราวเล็กๆ ระหว่างเดินทางท่องเที่ยวให้ฟังกัน
สำหรับการเดินทางหนนี้ ผมมุ่งเป้าไปที่ธรรมชาติ ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากไปนัก แต่คำเดียวที่คิดออกคือ “อยากไป”
ผมมีเวลาวันเดียวที่จะท่องเที่ยว ตักตวงความสุขสั้นๆเดินทางกลับไปบ้านด้วย ผมเลือกที่จะไปไม่ใกล้ไม่ไกลนัก
ที่นั่นก็คือ “อุทยานแห่งชาติภูเวียง” จังหวัดขอนแก่นนั่นเอง ท่านผู้อ่านไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมไม่ไปเขาใหญ่
ทั้งที่มันใกล้กว่า เหตุผลคือ ผมอยากไปในที่ๆผมไม่เคยไป ผมอยากเห็นในที่ๆผมไม่เคยเห็นนั่นแหละครับ

     เอาอีกแล้ว “อยากเที่ยว” อีกแล้ว ครั้งนี้ผมค้นพบว่าตัวเองอยู่บ้านเฉยๆไม่ได้นานๆซะแล้วล่ะ
ต้องออกเที่ยวนู่นดูนี่อยู่เรื่อย และเป้าหมายของผม มันจะต้องไม่ธรรมดาแน่นอนในหนนี้
ผมแบกเป้ใบเดียวพร้อมกับโบกกล้องดิจิทัลตัวเล็กติดสอยห้อยตามในทุกที่ๆผมย่างก้าวไปถึง
ผมคลานออกจากบ้านพร้อมรถกระบะคู่ใจเพื่อจะได้ให้ถึงจุดหมายอีกแห่ง แต่แล้ว… อุบัติเหตุเดิมๆก็กลับมา
“หลง” ให้ตายดิ มันแอบรักผมอยู่ใช่ไหมถึงได้ตามไปทุกที่เลย!! อันที่จริงก็แค่เลี้ยวผิดซอยครับ
แต่ปัญหาคือมันอ้อมไปไกลกว่าที่เราคิด และแล้วเมื่อทนไม่ไหวผมก็เลยจอดถามคุณลุงที่กำลังเดินสวนทางกับรถของผม
“ลุงครับ ภูเวียงมันไปทางไหนครับ?” ลุงแกปาดเหงื่อเนิบนาบแล้วมองทิศทางอยู่สักครู่ แกก็ชี้มือไปด้านหลังรถ
“กลับไปทางนั้นก็ได้ หรือจะตรงไปเลี้ยวซ้าย พอเจอโรงเรียนก็เลี้ยวขวานะ” ผมขอบคุณแกสักพัก
แกก็ถามว่า “ผมจะไปขึ้นรถกลับไปในตัวเมืองผมต้องไปทางไหนนะ” คำถามง่ายนะ ง่ายมากๆเลย
ก็แค่เดินไปขึ้นรถกลับเข้าตัวเมือง แต่มาถามคนต่างถิ่นอย่างผมเนี่ยนะ? ผมอยากช่วยใจจะขาด
“ผมก็ไม่รู้ครับลุง ผมไม่ใช่คนที่นี่” ผมส่ายหัวแล้วยิ้มเชิงขอโทษไปให้ลุง แต่แกก็ไม่ได้แสดงอาการโกรธอะไร
แกตอบกลับมาว่า “ไม่เป็นไรๆ เที่ยวให้สนุกนะ” แกส่งยิ้มอุ่นๆกลับมาแล้วเดินจากไปเงียบๆ
รู้สึกผิดมากกว่าตื่นเต้นซะอีกในตอนนั้น และแล้วผมก็ขับรถต่อไปให้ถึงวนอุทยานแห่งชาติภูเวียง

การเดินทางเข้าป่าทุกครั้งเราจะต้องเตรียมอะไรไปมากมายกว่าที่จะคิดได้ เพื่อให้การใช้ชีวิตในป่าไม่ลำบากแบบที่เห็น
ในละครทั่วไปของบ้านเรา แต่คุณรู้ไหม ยิ่งพกของไปเยอะสิ่งที่จะพบเห็นระหว่างทางก็น้อยลงเช่นกัน
ทริปสั้นนี้ ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาเดินขึ้นเขาพร้อมกระเป๋าที่หนักประมาณสามกิโลกรัมคู่ใจ
มันก็เลยทำให้ผมจำใจต้องถามตัวเองก่อนก้าวเท้าออกเดินว่า ไม่ได้เตรียมตัวมา จะไหวไหมว่ะเนี่ย
แต่คำตอบที่สวนออกมาตั้งแต่ยังตั้งคำถามไม่เสร็จก็คือ “ไม่ได้เตรียมตัวมา เตรียมมาก็แต่หัวใจ”
สุดท้ายผมก็เลือกสืบเท้าเดินขึ้นเขาไปช้าๆ แบบที่เต่าเพิ่งเคาะไข่แตกก็ยังเดินแซงผมได้สบายๆ
ผมเดินด้วยความเร็วประมาณ 0.3 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอยู่แบบนั้นตลอดการเดินขึ้นเขา
มีกลุ่มวัยรุ่นที่กำลังเดินตามหลังผมมาประมาณเจ็ดถึงแปดคนน่าจะไม่ผิด ส่งเสียงดังลั่นป่า
เชื่อเถอะว่าถ้าผมเป็นกวางผมคงรีบวิ่งไปให้ไกลจากตรงนี้แน่ๆ ไม่นานนักพวกเขาก็เดินแซงผมไปโดยง่าย

รูปภาพ

     ระหว่างทางที่สูงชันไปเรื่อยๆทำให้ผมเดินช้าลงอีกเป็นเท่าตัว ผมว่าถ้าช้าอีกนิดก็คงไม่เรียกว่าเดินแล้วล่ะ
แต่ช่วยไม่ได้ผมเตรียมแต่ใจมาจริงๆ น้ำสักขวดยังไม่มี ผมเหลือบไปมองกลุ่มวัยรุ่นที่เดินแซงผมสักครู่
พวกเขาค่อยๆหายไปช้าๆ ตามโค้งลัดเลาะของทางขึ้นเขาที่เป็นเนินสูงชัน ทั้งลัดซ้ายขวาสับกันไปมา
สิ่งที่ผมคิดได้ในตอนนั้น “นี่แก่แล้วหรอว่ะ ทำไมเดินตามพวกนั้นไม่ทัน” ด้วยความเหนื่อยล้าแรงขาสุดๆ
ผมก็เลยตัดสินใจนั่งพักที่หินชั้นหนึ่งระหว่างทางเดิน ผมมองลงไปจากเนินที่ผมเดินขึ้นมา “มันไกลมาก”
ถ้าวัดจากจุดที่ผมเริ่มต้นที่ผมออกเดินก็มาไกลโขอยู่ การที่ผมนั่งหายใจหอบถี่ๆ มันทำให้ผมได้ครุ่นคิด
ว่าจริงๆผมมาทำอะไรที่นี่ ผมไม่ได้มาเพื่อเดินแข่งกับวัยรุ่นกลุ่มนั้น ไม่ได้มาเดินแข่งกับใครทั้งนั้น
การนั่งพักแล้วมองคนอื่นเดินผ่านไปมันทำให้ผมคิดได้ว่า “เราจะเดินให้สูงหรือเร็วกว่าใครไปทำไม
หากเราเคยเดินสูงกว่าที่เคยเดินแล้ว” ผมนั่งยิ้มคนเดียวเหมือนคนบ้า ว่าผมค้นพบอะไรเข้าให้แล้วสิ

ผมนั่งหอบแล้วหยิบกล้องขึ้นมาเปิดเลนส์เก็บภาพระหว่างทางนิดหน่อย ก่อนจะเริ่มอยากขว้างมันทิ้ง
ผมเดินสูงขึ้นเท่าไหร่ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าเป้กับกล้องมันโคตรจะเป็นภาระให้คนรูปร่างแบบผมอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
ผมมองก้าวยาวๆของตัวเองกับรองเท้าแตะพื้นยางเหนียวหนืดที่สวมอยู่ในตอนนี้ แล้วก็คิดอะไรแปลกๆอีก
ขาของเรามันยาวแค่ไหนกันนะ ถึงจะต้องไปก้าวยาวๆให้มันเหนื่อยเพิ่มเป็นสองเท่าเพื่อให้ทันคนข้างหน้า
“ในเมื่อเราไม่ได้เดินเพื่อแข่งกับใคร เราก็เดินให้ชนะใจตัวเองก็พอแล้วไม่ใช่หรอ” เมื่อคิดแปลกๆได้แบบนั้น
ผมก็ตัดสินใจลองเก้าเท้าคีบอีแตะของผมให้มันสั้นลองอีกสักหน่อย ปรากฎว่าผมเหนื่อยช้าลง
แต่ก็เหมือนผมเดินช้าลงอีก ไม่กี่อึดใจหรอกที่ผมครุ่นคิดอะไรตลอดการเดิน ทั้งเรื่องการเรียน การงาน การบ้าน
ผมมองปลายเท้าตัวเองกับก้าวข้างหน้าแค่ก้าวเดียว กว่าจะรู้ตัวอีกทีว่าเหนื่อย ผมก็เดินมาไกลแล้ว
ถ้าเกิดว่าผมมองแค่ก้าวต่อไปที่เราจะเดินและวางแผนรับมือมันให้ดีแล้วก้าวผ่านมันไป มันอาจจะทำให้
ชีวิตของเรารอบคอบขึ้นก็เป็นได้ เหมือนเวลาที่เราเดินขึ้นเขานั่นแหละ ขาของเราเองที่เดินก้าวไป
ไม่ใช่แค่ขึ้นเขา แต่เป็นทุกที่ๆเราไป ถ้าหากว่าเรา “เดินในแบบของตัวเอง ด้วยก้าวที่เป็นตัวเอง
ก็จะชนะตัวเองทุกครั้งไป” ไม่ต้องชนะใคร ชนะใจเราก็พอแล้ว

รูปภาพ

ในระหว่างที่ผมกำลังก้มมองแค่พื้นตรงหน้า มันก็ทำให้ผมเริ่มสังเกตุทุกเก้าที่ผมเหยียบย่างเดินไป
ที่พื้นเป็นทางเดินก็จริง แต่เมื่อฝนตกหน้าที่ของมันก็คือกลายทางน้ำไหล เพื่อลำเลียงน้ำลงไปด้านล่าง
ผมค้นพบปูนตามทางเดินที่แตกเป็นทางน้ำ บ้างก็กลายเป็นชั้นหิน บ้างก็มีคราบดำและขาวสลับกันไป
แต่ว่าสิ่งที่ผมพบเห็นตลอดทางไม่ใช่แค่ปูนกับหินหรอก แต่เป็นใส้เดือนตัวหงิกงอเหมือนเพิ่งจะตายใหม่ๆ
ไม่ใช่สิบตัวแต่เป็นสิบๆตัว นับร้อยๆตัวตลอดทางเดินที่ผมเดิน พวกมันบางตัวโดนเหยียบ บางตัวขาดครึ่ง
บางตัวแห้งตาย หรือบางตัวก็กำลังสู้กับมดดำกลุ่มใหญ่ ผมคิดว่าพวกมันคงหนีน้ำขึ้นมาวางไข่หรือเปล่านะ
ผมเองก็ไม่รู้ระบบนิเวศน์ดีเท่าไหร่นัก แต่ก็พอเดาได้ว่าตอนนี้ประชากรใส้เดือนกำลังลดน้อยลงแล้วล่ะ

ยิ่งผมเดินสูงเท่าไหร่ ทางก็ยิ่งชัน ผมเริ่มรู้สึกว่าแขนขาจะเป็นภาระอันหนักอึ้งไปซะแล้ว
ผมคิดเล่นๆว่าถ้าเดินกลับตอนนี้มันจะเสียเที่ยวหรือเปล่าว่ะ คิดไปคิดมาเดินไปพักไป
ถ้าผมเดินกลับตอนนี้ผมก็คงไม่พบอะไร แต่ถ้าเสี่ยงเดินไปอีกหน่อยอาจจะพบอะไรก็เป็นได้
แต่ยิ่งเดินสืบเท้าไปพละกำลังก็ถดถอย ประกอบกับเสียเหงื่อมากโดยไม่มีอะไรมาทดแทน
ผมทรุดตัวนั่งคิดว่า คงเป็นรอบสุดท้ายแล้วสำหรับทริปนี้ที่ผมจะท้อแท้….
เราทุกคนล้วนเกิดมาแตกต่างกัน บางคนมีเป้าหมายบางคนไม่มีเป้าหมายอะไรเลยในชีวิต
บางคนเดินไปเรื่อยๆบางคนเดินตามทางเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายของตัวเองที่ตั้งไว้
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเดินไปถึงเป้าหมายหรอก มันอยู่ที่เราค้นพบอะไรระหว่างทางเดินนั้นมากกว่า
บางคนก็ค้นพบว่าเป้าหมายแท้จริงแล้วอยู่ระหว่างทางนั่นแหละ บางคนก็พบว่า
เป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ ยังไม่ใช่สิ่งที่ใจต้องการจริงๆ บางครั้งทั้งชีวิตเรามีคำถาม แต่เราไม่เลือก
ที่จะหาคำตอบ ถึงแม้บางครั้งคำตอบจะอยู่แค่กำแพงบางๆกั้นเท่านั้นเอง

รูปภาพ

      ทันที่ผมคิดจนเพลินเลยไป ผมก็เริ่มสืบเท้าก้าวลงตามทางเดินที่ผ่านมาเมื่อครู่ ผมไม่เห็นรอยเท้าตัวเอง
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเดินผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว สิ่งที่จำได้ก็คือตอนเดินขึ้นกับเดินลง
มันทั้งต่างและไม่ต่างกัน สิ่งที่ไม่ต่างก็คือพื้นที่เดินยังคงเหมือนเดิม ต้นไม้ข้างทางยังคงเหมือนเดิม
แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ก็คือมุมมองผ่านเลนส์ตาเล็กๆคู่นี้ของผมเองนั่นแหละ
ตอนเดินขึ้นทุกอย่างอยู่ไกล และเหมือนยากที่จะเข้าถึง ต้นไม้อยู่สูงสุดลูกหูลูกตาที่ผมจะมอง
ตอนเดินลงทุกอย่างก็อยู่ที่เดิม เพียงแค่ผมเดินผ่านแล้วเอื้อมมือไปสัมผัส ผมก็ค้นพบว่า
มันอยู่ใกล้ผมแค่เอื้อมมือเท่านั้น ผมแค่เทแรงเดินขึ้นจนมองข้ามพวกเธอไป “ดอกไม้ริมทาง”
“เดินขึ้นว่ายากแล้ว เดินลงผมว่ายากกว่า” ใครบอกกันนะว่าเดินลงน่ะมันง่ายกว่าเดินขึ้น
ผมว่ามันก็มีส่วนถูกนะ แต่ไม่ใช่ซะทั้งหมด การเดินลงคุณจะต้องทิ้งน้ำหนักลงไปที่เท้า
ทีละข้าง น้ำหนักตัวของคุณทั้งหมด ถ้าคุณหนักเจ็ดสิบกิโลกรัม เท้าทั้งคู่ของคุณ
ก็จะรับน้ำหนักข้างละเจ็ดสิบกิโลกกรัมทีละข้าง สองข้างก็หนึ่งร้อยสี่สิบกิโลกรัม แน่นอนว่า
ไม่ใช่ใกล้ๆแน่นอน ถ้าคุณเดินร้อยเก้า เท้าของคุณก็ต้องรับน้ำหนักเจ็ดสิบกิโลกรัมร้อยครั้ง
บวกลบคูณหารนิดหน่อย มันก็ไม่ใช่ตัวเลขที่น้อยเลย… แล้วผมก็ต้องทำแบบนั้น
ไม่ใช่แค่ร้อยเก้าแต่เป็นร้อยๆเก้า เห็นไหมล่ะครับ ผมบอกแล้วว่า เดินลงมันก็ไม่ใช่อะไรที่ง่ายจริงๆ

รูปภาพ

รูปภาพ

และสุดท้ายนี้ก่อนผมจะขึ้นรถกลับบ้าน ผมคว้าโทรศัพท์มาจดโน๊ตสำคัญๆไว้
เพื่อมาประกอบการเขียนบล็อคครั้งนี้ การเดินขึ้นเขาทำให้ผมคิดอะไรได้หลายอย่าง เช่นเดียวกับการเดินลง
“เราอาจจะไม่ใช่คนที่ทุ่มสุดแรงเพื่อให้ถึงเป้าหมาย แต่เราจะทุ่มหมดแรงที่ตัวเราทำได้
เมื่อรู้ว่าสุดๆแล้ว เราจะหยุดแล้วจะพอใจในสิ่งที่ตัวเองได้มา”

By Kkanq9.

ใส่ความเห็น