ทริปทุ้มหน่วง ที่ภูเวียง.

สวัสดีครับท่านผู้อ่านที่รัก วันนี้ผม Kkanq9. จะมาบอกเล่าเรื่องราวเล็กๆ ระหว่างเดินทางท่องเที่ยวให้ฟังกัน
สำหรับการเดินทางหนนี้ ผมมุ่งเป้าไปที่ธรรมชาติ ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากไปนัก แต่คำเดียวที่คิดออกคือ “อยากไป”
ผมมีเวลาวันเดียวที่จะท่องเที่ยว ตักตวงความสุขสั้นๆเดินทางกลับไปบ้านด้วย ผมเลือกที่จะไปไม่ใกล้ไม่ไกลนัก
ที่นั่นก็คือ “อุทยานแห่งชาติภูเวียง” จังหวัดขอนแก่นนั่นเอง ท่านผู้อ่านไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมไม่ไปเขาใหญ่
ทั้งที่มันใกล้กว่า เหตุผลคือ ผมอยากไปในที่ๆผมไม่เคยไป ผมอยากเห็นในที่ๆผมไม่เคยเห็นนั่นแหละครับ

     เอาอีกแล้ว “อยากเที่ยว” อีกแล้ว ครั้งนี้ผมค้นพบว่าตัวเองอยู่บ้านเฉยๆไม่ได้นานๆซะแล้วล่ะ
ต้องออกเที่ยวนู่นดูนี่อยู่เรื่อย และเป้าหมายของผม มันจะต้องไม่ธรรมดาแน่นอนในหนนี้
ผมแบกเป้ใบเดียวพร้อมกับโบกกล้องดิจิทัลตัวเล็กติดสอยห้อยตามในทุกที่ๆผมย่างก้าวไปถึง
ผมคลานออกจากบ้านพร้อมรถกระบะคู่ใจเพื่อจะได้ให้ถึงจุดหมายอีกแห่ง แต่แล้ว… อุบัติเหตุเดิมๆก็กลับมา
“หลง” ให้ตายดิ มันแอบรักผมอยู่ใช่ไหมถึงได้ตามไปทุกที่เลย!! อันที่จริงก็แค่เลี้ยวผิดซอยครับ
แต่ปัญหาคือมันอ้อมไปไกลกว่าที่เราคิด และแล้วเมื่อทนไม่ไหวผมก็เลยจอดถามคุณลุงที่กำลังเดินสวนทางกับรถของผม
“ลุงครับ ภูเวียงมันไปทางไหนครับ?” ลุงแกปาดเหงื่อเนิบนาบแล้วมองทิศทางอยู่สักครู่ แกก็ชี้มือไปด้านหลังรถ
“กลับไปทางนั้นก็ได้ หรือจะตรงไปเลี้ยวซ้าย พอเจอโรงเรียนก็เลี้ยวขวานะ” ผมขอบคุณแกสักพัก
แกก็ถามว่า “ผมจะไปขึ้นรถกลับไปในตัวเมืองผมต้องไปทางไหนนะ” คำถามง่ายนะ ง่ายมากๆเลย
ก็แค่เดินไปขึ้นรถกลับเข้าตัวเมือง แต่มาถามคนต่างถิ่นอย่างผมเนี่ยนะ? ผมอยากช่วยใจจะขาด
“ผมก็ไม่รู้ครับลุง ผมไม่ใช่คนที่นี่” ผมส่ายหัวแล้วยิ้มเชิงขอโทษไปให้ลุง แต่แกก็ไม่ได้แสดงอาการโกรธอะไร
แกตอบกลับมาว่า “ไม่เป็นไรๆ เที่ยวให้สนุกนะ” แกส่งยิ้มอุ่นๆกลับมาแล้วเดินจากไปเงียบๆ
รู้สึกผิดมากกว่าตื่นเต้นซะอีกในตอนนั้น และแล้วผมก็ขับรถต่อไปให้ถึงวนอุทยานแห่งชาติภูเวียง

การเดินทางเข้าป่าทุกครั้งเราจะต้องเตรียมอะไรไปมากมายกว่าที่จะคิดได้ เพื่อให้การใช้ชีวิตในป่าไม่ลำบากแบบที่เห็น
ในละครทั่วไปของบ้านเรา แต่คุณรู้ไหม ยิ่งพกของไปเยอะสิ่งที่จะพบเห็นระหว่างทางก็น้อยลงเช่นกัน
ทริปสั้นนี้ ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาเดินขึ้นเขาพร้อมกระเป๋าที่หนักประมาณสามกิโลกรัมคู่ใจ
มันก็เลยทำให้ผมจำใจต้องถามตัวเองก่อนก้าวเท้าออกเดินว่า ไม่ได้เตรียมตัวมา จะไหวไหมว่ะเนี่ย
แต่คำตอบที่สวนออกมาตั้งแต่ยังตั้งคำถามไม่เสร็จก็คือ “ไม่ได้เตรียมตัวมา เตรียมมาก็แต่หัวใจ”
สุดท้ายผมก็เลือกสืบเท้าเดินขึ้นเขาไปช้าๆ แบบที่เต่าเพิ่งเคาะไข่แตกก็ยังเดินแซงผมได้สบายๆ
ผมเดินด้วยความเร็วประมาณ 0.3 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอยู่แบบนั้นตลอดการเดินขึ้นเขา
มีกลุ่มวัยรุ่นที่กำลังเดินตามหลังผมมาประมาณเจ็ดถึงแปดคนน่าจะไม่ผิด ส่งเสียงดังลั่นป่า
เชื่อเถอะว่าถ้าผมเป็นกวางผมคงรีบวิ่งไปให้ไกลจากตรงนี้แน่ๆ ไม่นานนักพวกเขาก็เดินแซงผมไปโดยง่าย

รูปภาพ

     ระหว่างทางที่สูงชันไปเรื่อยๆทำให้ผมเดินช้าลงอีกเป็นเท่าตัว ผมว่าถ้าช้าอีกนิดก็คงไม่เรียกว่าเดินแล้วล่ะ
แต่ช่วยไม่ได้ผมเตรียมแต่ใจมาจริงๆ น้ำสักขวดยังไม่มี ผมเหลือบไปมองกลุ่มวัยรุ่นที่เดินแซงผมสักครู่
พวกเขาค่อยๆหายไปช้าๆ ตามโค้งลัดเลาะของทางขึ้นเขาที่เป็นเนินสูงชัน ทั้งลัดซ้ายขวาสับกันไปมา
สิ่งที่ผมคิดได้ในตอนนั้น “นี่แก่แล้วหรอว่ะ ทำไมเดินตามพวกนั้นไม่ทัน” ด้วยความเหนื่อยล้าแรงขาสุดๆ
ผมก็เลยตัดสินใจนั่งพักที่หินชั้นหนึ่งระหว่างทางเดิน ผมมองลงไปจากเนินที่ผมเดินขึ้นมา “มันไกลมาก”
ถ้าวัดจากจุดที่ผมเริ่มต้นที่ผมออกเดินก็มาไกลโขอยู่ การที่ผมนั่งหายใจหอบถี่ๆ มันทำให้ผมได้ครุ่นคิด
ว่าจริงๆผมมาทำอะไรที่นี่ ผมไม่ได้มาเพื่อเดินแข่งกับวัยรุ่นกลุ่มนั้น ไม่ได้มาเดินแข่งกับใครทั้งนั้น
การนั่งพักแล้วมองคนอื่นเดินผ่านไปมันทำให้ผมคิดได้ว่า “เราจะเดินให้สูงหรือเร็วกว่าใครไปทำไม
หากเราเคยเดินสูงกว่าที่เคยเดินแล้ว” ผมนั่งยิ้มคนเดียวเหมือนคนบ้า ว่าผมค้นพบอะไรเข้าให้แล้วสิ

ผมนั่งหอบแล้วหยิบกล้องขึ้นมาเปิดเลนส์เก็บภาพระหว่างทางนิดหน่อย ก่อนจะเริ่มอยากขว้างมันทิ้ง
ผมเดินสูงขึ้นเท่าไหร่ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าเป้กับกล้องมันโคตรจะเป็นภาระให้คนรูปร่างแบบผมอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
ผมมองก้าวยาวๆของตัวเองกับรองเท้าแตะพื้นยางเหนียวหนืดที่สวมอยู่ในตอนนี้ แล้วก็คิดอะไรแปลกๆอีก
ขาของเรามันยาวแค่ไหนกันนะ ถึงจะต้องไปก้าวยาวๆให้มันเหนื่อยเพิ่มเป็นสองเท่าเพื่อให้ทันคนข้างหน้า
“ในเมื่อเราไม่ได้เดินเพื่อแข่งกับใคร เราก็เดินให้ชนะใจตัวเองก็พอแล้วไม่ใช่หรอ” เมื่อคิดแปลกๆได้แบบนั้น
ผมก็ตัดสินใจลองเก้าเท้าคีบอีแตะของผมให้มันสั้นลองอีกสักหน่อย ปรากฎว่าผมเหนื่อยช้าลง
แต่ก็เหมือนผมเดินช้าลงอีก ไม่กี่อึดใจหรอกที่ผมครุ่นคิดอะไรตลอดการเดิน ทั้งเรื่องการเรียน การงาน การบ้าน
ผมมองปลายเท้าตัวเองกับก้าวข้างหน้าแค่ก้าวเดียว กว่าจะรู้ตัวอีกทีว่าเหนื่อย ผมก็เดินมาไกลแล้ว
ถ้าเกิดว่าผมมองแค่ก้าวต่อไปที่เราจะเดินและวางแผนรับมือมันให้ดีแล้วก้าวผ่านมันไป มันอาจจะทำให้
ชีวิตของเรารอบคอบขึ้นก็เป็นได้ เหมือนเวลาที่เราเดินขึ้นเขานั่นแหละ ขาของเราเองที่เดินก้าวไป
ไม่ใช่แค่ขึ้นเขา แต่เป็นทุกที่ๆเราไป ถ้าหากว่าเรา “เดินในแบบของตัวเอง ด้วยก้าวที่เป็นตัวเอง
ก็จะชนะตัวเองทุกครั้งไป” ไม่ต้องชนะใคร ชนะใจเราก็พอแล้ว

รูปภาพ

ในระหว่างที่ผมกำลังก้มมองแค่พื้นตรงหน้า มันก็ทำให้ผมเริ่มสังเกตุทุกเก้าที่ผมเหยียบย่างเดินไป
ที่พื้นเป็นทางเดินก็จริง แต่เมื่อฝนตกหน้าที่ของมันก็คือกลายทางน้ำไหล เพื่อลำเลียงน้ำลงไปด้านล่าง
ผมค้นพบปูนตามทางเดินที่แตกเป็นทางน้ำ บ้างก็กลายเป็นชั้นหิน บ้างก็มีคราบดำและขาวสลับกันไป
แต่ว่าสิ่งที่ผมพบเห็นตลอดทางไม่ใช่แค่ปูนกับหินหรอก แต่เป็นใส้เดือนตัวหงิกงอเหมือนเพิ่งจะตายใหม่ๆ
ไม่ใช่สิบตัวแต่เป็นสิบๆตัว นับร้อยๆตัวตลอดทางเดินที่ผมเดิน พวกมันบางตัวโดนเหยียบ บางตัวขาดครึ่ง
บางตัวแห้งตาย หรือบางตัวก็กำลังสู้กับมดดำกลุ่มใหญ่ ผมคิดว่าพวกมันคงหนีน้ำขึ้นมาวางไข่หรือเปล่านะ
ผมเองก็ไม่รู้ระบบนิเวศน์ดีเท่าไหร่นัก แต่ก็พอเดาได้ว่าตอนนี้ประชากรใส้เดือนกำลังลดน้อยลงแล้วล่ะ

ยิ่งผมเดินสูงเท่าไหร่ ทางก็ยิ่งชัน ผมเริ่มรู้สึกว่าแขนขาจะเป็นภาระอันหนักอึ้งไปซะแล้ว
ผมคิดเล่นๆว่าถ้าเดินกลับตอนนี้มันจะเสียเที่ยวหรือเปล่าว่ะ คิดไปคิดมาเดินไปพักไป
ถ้าผมเดินกลับตอนนี้ผมก็คงไม่พบอะไร แต่ถ้าเสี่ยงเดินไปอีกหน่อยอาจจะพบอะไรก็เป็นได้
แต่ยิ่งเดินสืบเท้าไปพละกำลังก็ถดถอย ประกอบกับเสียเหงื่อมากโดยไม่มีอะไรมาทดแทน
ผมทรุดตัวนั่งคิดว่า คงเป็นรอบสุดท้ายแล้วสำหรับทริปนี้ที่ผมจะท้อแท้….
เราทุกคนล้วนเกิดมาแตกต่างกัน บางคนมีเป้าหมายบางคนไม่มีเป้าหมายอะไรเลยในชีวิต
บางคนเดินไปเรื่อยๆบางคนเดินตามทางเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายของตัวเองที่ตั้งไว้
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเดินไปถึงเป้าหมายหรอก มันอยู่ที่เราค้นพบอะไรระหว่างทางเดินนั้นมากกว่า
บางคนก็ค้นพบว่าเป้าหมายแท้จริงแล้วอยู่ระหว่างทางนั่นแหละ บางคนก็พบว่า
เป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ ยังไม่ใช่สิ่งที่ใจต้องการจริงๆ บางครั้งทั้งชีวิตเรามีคำถาม แต่เราไม่เลือก
ที่จะหาคำตอบ ถึงแม้บางครั้งคำตอบจะอยู่แค่กำแพงบางๆกั้นเท่านั้นเอง

รูปภาพ

      ทันที่ผมคิดจนเพลินเลยไป ผมก็เริ่มสืบเท้าก้าวลงตามทางเดินที่ผ่านมาเมื่อครู่ ผมไม่เห็นรอยเท้าตัวเอง
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเดินผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว สิ่งที่จำได้ก็คือตอนเดินขึ้นกับเดินลง
มันทั้งต่างและไม่ต่างกัน สิ่งที่ไม่ต่างก็คือพื้นที่เดินยังคงเหมือนเดิม ต้นไม้ข้างทางยังคงเหมือนเดิม
แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ก็คือมุมมองผ่านเลนส์ตาเล็กๆคู่นี้ของผมเองนั่นแหละ
ตอนเดินขึ้นทุกอย่างอยู่ไกล และเหมือนยากที่จะเข้าถึง ต้นไม้อยู่สูงสุดลูกหูลูกตาที่ผมจะมอง
ตอนเดินลงทุกอย่างก็อยู่ที่เดิม เพียงแค่ผมเดินผ่านแล้วเอื้อมมือไปสัมผัส ผมก็ค้นพบว่า
มันอยู่ใกล้ผมแค่เอื้อมมือเท่านั้น ผมแค่เทแรงเดินขึ้นจนมองข้ามพวกเธอไป “ดอกไม้ริมทาง”
“เดินขึ้นว่ายากแล้ว เดินลงผมว่ายากกว่า” ใครบอกกันนะว่าเดินลงน่ะมันง่ายกว่าเดินขึ้น
ผมว่ามันก็มีส่วนถูกนะ แต่ไม่ใช่ซะทั้งหมด การเดินลงคุณจะต้องทิ้งน้ำหนักลงไปที่เท้า
ทีละข้าง น้ำหนักตัวของคุณทั้งหมด ถ้าคุณหนักเจ็ดสิบกิโลกรัม เท้าทั้งคู่ของคุณ
ก็จะรับน้ำหนักข้างละเจ็ดสิบกิโลกกรัมทีละข้าง สองข้างก็หนึ่งร้อยสี่สิบกิโลกรัม แน่นอนว่า
ไม่ใช่ใกล้ๆแน่นอน ถ้าคุณเดินร้อยเก้า เท้าของคุณก็ต้องรับน้ำหนักเจ็ดสิบกิโลกรัมร้อยครั้ง
บวกลบคูณหารนิดหน่อย มันก็ไม่ใช่ตัวเลขที่น้อยเลย… แล้วผมก็ต้องทำแบบนั้น
ไม่ใช่แค่ร้อยเก้าแต่เป็นร้อยๆเก้า เห็นไหมล่ะครับ ผมบอกแล้วว่า เดินลงมันก็ไม่ใช่อะไรที่ง่ายจริงๆ

รูปภาพ

รูปภาพ

และสุดท้ายนี้ก่อนผมจะขึ้นรถกลับบ้าน ผมคว้าโทรศัพท์มาจดโน๊ตสำคัญๆไว้
เพื่อมาประกอบการเขียนบล็อคครั้งนี้ การเดินขึ้นเขาทำให้ผมคิดอะไรได้หลายอย่าง เช่นเดียวกับการเดินลง
“เราอาจจะไม่ใช่คนที่ทุ่มสุดแรงเพื่อให้ถึงเป้าหมาย แต่เราจะทุ่มหมดแรงที่ตัวเราทำได้
เมื่อรู้ว่าสุดๆแล้ว เราจะหยุดแล้วจะพอใจในสิ่งที่ตัวเองได้มา”

By Kkanq9.

ทริป “แว่นขยาย”

ทริป “แว่นขยาย”

     สวัสดีครับท่านผู้อ่าน วันนี้ก็เป็นวันธรรมดาเหมือนทุกวัน เป็นวันที่พระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า
และตกในตอนเย็น มีลมพัดและมีแสงแดดที่มาพร้อมกับควันรถยนต์ในเมือง จู่ๆความคิดบางอย่าง
ก็เตะหน้าผากผมอย่างจัง!! ไปเที่ยวดีกว่า! คำแรกที่ผุดเข้ามาในหัวผมขณะกำลังขับรถกลับ
จากจ่ายตลาดยามเช้า แต่จะไปไหนดีล่ะ?? อีกหนึ่งคำถามที่แล่นทะยานเข้ามาจนเกือบจะประสานงา
กับความคิดแรก…. นั่นสิ จะไปไหน ผมใช้เวลาสิบนาทีที่จะไล่รายชื่อสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นมา
พร้อมภาพสามมิติในหัวของผม แถวบ้านผมมันมีอะไรเที่ยว ถ้าไม่ใช่เขาใหญ่หรือว่าเราจะไปน้ำตก…
ไม่ๆเสี่ยงเกินไป และแล้วผมก็คิดได้ ผมอยากไปที่ๆไม่เคยไปมาก่อน ปิ๊งป่อง!! ทริปนี้ผมจะไป
โบราณสถานที่อยู่แถวๆนี้ก็แล้วกัน

     ผมเริ่มเตรียมของใช้จำเป็น คือกล้องดิจิตอลหนึ่งตัว สมุดจดบันทึก และโทรศัพท์มือถือ
ตะเลงลากตัวเองขึ้นรถกระบะคู่ใจพร้อมกับผู้ร่วมทริปนี้ น้องสาวแท้ๆของผมเอง ผมรีบสตาร์ทรถ
เพื่อทำเวลา มุ่งตรงไปที่ #ปรางค์พะโค บางคนอาจจะเคยได้ยิน แต่สำหรับผม เคยได้ยินแต่ไม่เคยเห็น
วันนี้ก็เลยจัดซะหน่อย ผมเดินทางเป็นแนวตรงดิ่งเส้นบุรีรัม ตัดผ่าน อ.โชคชัยเข้าไป
จนเจอถนนสองเลนเล็กๆ ที่รถคันใหญ่ๆสวนกันลำบาก ผมขับรถกินลมอยู่เพียงครูเดียว ก็เจอป้าย
บอกชื่อสถานที่ๆเป็นจุดหมายแรกในทริปแว่นขยายนี้

รูปภาพ

     ก่อนเราจะไปถึงที่หมายแรกตามที่ตั้งใจเอาไว้ เราก็ต้องพบกับความผิดพลาดชนิดเริ่มต้นนักเดินทางฝึกหัด
นั่นก็คือ…. #หลง และการหลงแบบไม่น่าจะหลงของผมในครั้งนี้ ก็ทำให้ผมได้พบกับน้ำใจเล็กๆน้อยๆ
ของชาวบ้านที่ผมผ่านไปถามทางแถวนั้น เขาตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มว่า “อ๋อ ย้อนกลับไปทางนั้น
แล้วจะอยู่ซ้ายมือ” หลงครั้งแรกทำให้ผมพบน้ำใจเบาๆของชาวบ้าน ผมทำตามคำแนะนำดังกล่าว
โดนการขับรถกลับทางเดิม และผมก็พบเข้ากับจุดหมายของทริปแรกในวันนี้

รูปภาพ

     ปรางค์พะโคเป็นพระปรางค์เล็กๆที่ตั้งอยู่ริมถนนที่ตัดผ่านชุมชน อาจจะไม่ใหญ่โตมากมาย
แต่ก็ทิ้งร่องรอยของวัฒนธรรมเอาไว้มากมาย รูปสลักต่างๆรวมถึงรากฐานการวางแปลนของอิฐต่างๆ
ครั้งแรกที่ผมเปิดประตูลงรถไปพบกับบรรยากาศอันแสนจะธรรมดา แต่อบอวนไปด้วยความงามนี้
ความรู้สึกอบอุ่นพัดมากับสายลมเย็นแผ่วเบา ผมกวาดสายตาไปรอบๆ ไม่ไกลนักก็เจอสระบัว
ผมตัดสินใจเก็บบันทึกความรู้สึกดีๆนี้ด้วยภาพถ่ายเพียงไม่กี่ภาพ พร้อมกับสูดหายใจเต็มปอด
เพื่อตักตวงความรู้สึกอบอุ่นกับซากแห่งอารยธรรมนี้ให้อิ่ม ก่อนจะขับรถจากมา จดจำไว้ในความทรงจำ

     ผมขับรถมุ่งต่อไปยังจุดหมายถัดไปของทริปนี้เลี้ยวไปตามถนน จากเส้นหลักก็กลายเป็นสองเลน
จากสองเลนก็กลายเป็นถนนชุมชนเก่าๆ ข้างทางมีแต่บ้านหลังเล็กๆ ไม่มีป้ายบอกทางแน่ชัด
ว่าเมืองเสมาไปทางไหน มีแต่ป้ายเล็กๆสีน้ำเงินชี้ขวาทีซ้ายที ผมเลี้ยวตามทางรถไฟ เข้าสู่ถนนชุมชน
เจอป้ายบอกทางเล็กๆให้เลี้ยวขวาไปเมืองเสมา สิ่งที่ได้พบเห็นเป็นสิ่งแรก ไม่ใช่ซากปลักหักพัง
แต่เป็นฝูงแพะเล็กๆ กับเจ้าของและสุนัขสามตัว ผมขับผ่านเข้าไปช้าๆ จอดแล้วเฝ้ามอง
แพะเดินกินหญ้าสดๆที่กำลังโตชุ่มน้ำอย่างสบายใจ ขณะเดียวกันถ้ามันเพลินจนออกนอกฝูง
สุนัขจะเห่าเพื่อให้แพะกลัว มันจะได้กลับเข้าฝูงของมันนั่นเอง

     ผมเดินเข้าไปอ่านที่ป้ายประวัติ กลิ่นอายความเก่าลอยเข้ามาเตะจมูกอย่างจัง ผมหยิบกล้องและเปิดเลนส์
ปล่อยให้มันเก็บภาพบรรยากาศดีๆแทนดวงตา ซากของสถานที่เก่าบ่งบอกว่าเรา มีวัฒนธรรมและสัมพันธ์
ที่แน่นแฟ้นกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่นเขมรตั้งแต่สมัยทวารวดี และผมถึงกับออกปากยอมรับว่า มันสวยจริงๆ

รูปภาพ

 

     ผมเดินสำรวจซากรอยของอารยธรรมเก่าสักพักก่อนจะปิดเลนส์กล้องแล้วกลับขึ้นรถ มุ่งตรงไปที่วัดพระนอน
จุดหมายสุดท้ายของเราวันนี้ ผมขับรถออกไปถึงปากทางเข้าเมืองเสมา และขับไปต่อจนถึงที่หมาย
วัดพระพุทธไสยาสน์วัดธรรมจักรเสมาราม หรือชาวบ้านแถวนั้นเรียกว่า “วัดพระนอน” นั่นเอง
ก่อนจะถึงวัดพระนอน ผมก็ต้องเจอสิ่งที่ไม่คาดหมาย นั่นก็คือน้ำท่วมถนนเกือบครึ่งเลน แต่ก็มีชาวบ้าน
นำรถมอเตอร์ไซด์มาจิดเต็มริมทาง ตอนนั้นผมก็ไม่รู้ว่าเขาเอามาจอดเพื่ออะไร หรือพบปะพูดคุยกันปกติ
ผมวนรถเพื่อหาที่จอดแต่มองหาพระนอนไม่เจอ เลยเดินไปถามแม่ค้าแถวนั้น แกยิ้มแล้วบอกว่า
“ช่วงนี่น้ำท่วมนะ คนไม่ค่อยมาหรอก ปาไม่กล้าเอาของลงเลย กลัวขายไม่ได้ น้ำจะท่วมอีก”
ด้วยภาษาถิ่นนั่นเอง ที่ทำให้ผมรู้สึกเป็นกันเองกับแกด้วยเวลาไม่กี่นาทีนั้น และแกยังบอกทาง
ที่จะไปกราบนมัสการและขอพรพระนอนที่ขึ้นชื่อด้วย “ไปทางนั้นน่ะหนุ่ม ไปเด้อ ไปขอพรท่าน”
แกบอกอีกครั้งด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า

รูปภาพ

     ผมยิ้มให้แล้วเดินไปตามทาง เห็นหลังคาวัดใหม่ๆ กับหญ้าเขียวๆ เมื่อผมเดินเข้าไปผมก็พบว่า
ฐานของพื้นวัดถูกทำเป็นพื้นไม้ยกสูงรอบตัวองค์พระ และมีรั้วล้อมองค์พระไว้ภายในมีองค์พระนอนตั้งอยู่
จะบอกว่าตั้งก็คงไม่ใช่ เพราะองค์พระราบนอนไปกับพื้น แลดูอบอุ่นและมีมนต์ขลัง ผมทำบุญยี่สิบบาท
หยิบชุดธูปเทียนกับดอกไม้มากราบไหว้ด้วยความเคารพตามมารยาทของสถานที่ กลิ่นควันจางๆของเครื่องบูชา
ทำเอาผมไม่อยากกลับจากสถานที่แห่งนี้เท่าไหร่นัก ไม่กี่ครั้งหรอกที่ผมจะมาที่วัด แล้วรู้สึกอบอุ่น
ได้มากมายถึงขนาดนี้ ผมเดินสำรวจแล้วกดชัตเตอร์เก็บภาพรายละเอียดองค์พระและบริเวณสถานที่
ก่อนที่กำลังจะกลับ ผมเจอกับผีเสื้อตัวหนึ่ง เค้าบินวนไปวนมาอยู่รอบๆตัวผมกับน้อง ปีกของเค้าสีส้มดำ
ผมแอบคิดว่า ที่บ้านผมไม่มีทางหาบรรยากาศแบบนี้ได้ง่ายๆแน่นอน ก่อนผมจะเดินขึ้นรถและปิดประตู
แม่ค้าที่แกมอบรอยยิ้มให้ผมเป็นคนแรก ก็โบกมือลาพร้อมกับพูดว่า “โชคดีนะลูกเอ๊ย ขอให้ได้รับแต่สิ่งดี”

     สุดท้ายนี้ ผมแอบคิดในใจอีกครั้งว่า การต้อนรับขับสู้นักท่องเที่ยวตาดำๆอย่างผมกับน้องอย่างเป็นกันเองขนาดนี้
จะมีสักกี่คนกันนะที่สร้างความประทับใจให้ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา โดยที่ไม่รู้จักกันได้มากมายขนาดนี้
ทริปวันนี้ไม่ได้ยาวนาน หรือมีอะไรพิเศษ มีแค่เพียงรากรอยวัฒนธรรมที่เคยเจริญรุ่งเรือง ความเชื่อและศรัทธาที่สวยงาม
และตบท้ายด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมความสุขของชาวบ้าน ผมบอกได้เลยว่าทริปนี้ มีแต่ความสุขที่ลอยอบอวนเต็มไปหมด