ทริป “แว่นขยาย”

ทริป “แว่นขยาย”

     สวัสดีครับท่านผู้อ่าน วันนี้ก็เป็นวันธรรมดาเหมือนทุกวัน เป็นวันที่พระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า
และตกในตอนเย็น มีลมพัดและมีแสงแดดที่มาพร้อมกับควันรถยนต์ในเมือง จู่ๆความคิดบางอย่าง
ก็เตะหน้าผากผมอย่างจัง!! ไปเที่ยวดีกว่า! คำแรกที่ผุดเข้ามาในหัวผมขณะกำลังขับรถกลับ
จากจ่ายตลาดยามเช้า แต่จะไปไหนดีล่ะ?? อีกหนึ่งคำถามที่แล่นทะยานเข้ามาจนเกือบจะประสานงา
กับความคิดแรก…. นั่นสิ จะไปไหน ผมใช้เวลาสิบนาทีที่จะไล่รายชื่อสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นมา
พร้อมภาพสามมิติในหัวของผม แถวบ้านผมมันมีอะไรเที่ยว ถ้าไม่ใช่เขาใหญ่หรือว่าเราจะไปน้ำตก…
ไม่ๆเสี่ยงเกินไป และแล้วผมก็คิดได้ ผมอยากไปที่ๆไม่เคยไปมาก่อน ปิ๊งป่อง!! ทริปนี้ผมจะไป
โบราณสถานที่อยู่แถวๆนี้ก็แล้วกัน

     ผมเริ่มเตรียมของใช้จำเป็น คือกล้องดิจิตอลหนึ่งตัว สมุดจดบันทึก และโทรศัพท์มือถือ
ตะเลงลากตัวเองขึ้นรถกระบะคู่ใจพร้อมกับผู้ร่วมทริปนี้ น้องสาวแท้ๆของผมเอง ผมรีบสตาร์ทรถ
เพื่อทำเวลา มุ่งตรงไปที่ #ปรางค์พะโค บางคนอาจจะเคยได้ยิน แต่สำหรับผม เคยได้ยินแต่ไม่เคยเห็น
วันนี้ก็เลยจัดซะหน่อย ผมเดินทางเป็นแนวตรงดิ่งเส้นบุรีรัม ตัดผ่าน อ.โชคชัยเข้าไป
จนเจอถนนสองเลนเล็กๆ ที่รถคันใหญ่ๆสวนกันลำบาก ผมขับรถกินลมอยู่เพียงครูเดียว ก็เจอป้าย
บอกชื่อสถานที่ๆเป็นจุดหมายแรกในทริปแว่นขยายนี้

รูปภาพ

     ก่อนเราจะไปถึงที่หมายแรกตามที่ตั้งใจเอาไว้ เราก็ต้องพบกับความผิดพลาดชนิดเริ่มต้นนักเดินทางฝึกหัด
นั่นก็คือ…. #หลง และการหลงแบบไม่น่าจะหลงของผมในครั้งนี้ ก็ทำให้ผมได้พบกับน้ำใจเล็กๆน้อยๆ
ของชาวบ้านที่ผมผ่านไปถามทางแถวนั้น เขาตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มว่า “อ๋อ ย้อนกลับไปทางนั้น
แล้วจะอยู่ซ้ายมือ” หลงครั้งแรกทำให้ผมพบน้ำใจเบาๆของชาวบ้าน ผมทำตามคำแนะนำดังกล่าว
โดนการขับรถกลับทางเดิม และผมก็พบเข้ากับจุดหมายของทริปแรกในวันนี้

รูปภาพ

     ปรางค์พะโคเป็นพระปรางค์เล็กๆที่ตั้งอยู่ริมถนนที่ตัดผ่านชุมชน อาจจะไม่ใหญ่โตมากมาย
แต่ก็ทิ้งร่องรอยของวัฒนธรรมเอาไว้มากมาย รูปสลักต่างๆรวมถึงรากฐานการวางแปลนของอิฐต่างๆ
ครั้งแรกที่ผมเปิดประตูลงรถไปพบกับบรรยากาศอันแสนจะธรรมดา แต่อบอวนไปด้วยความงามนี้
ความรู้สึกอบอุ่นพัดมากับสายลมเย็นแผ่วเบา ผมกวาดสายตาไปรอบๆ ไม่ไกลนักก็เจอสระบัว
ผมตัดสินใจเก็บบันทึกความรู้สึกดีๆนี้ด้วยภาพถ่ายเพียงไม่กี่ภาพ พร้อมกับสูดหายใจเต็มปอด
เพื่อตักตวงความรู้สึกอบอุ่นกับซากแห่งอารยธรรมนี้ให้อิ่ม ก่อนจะขับรถจากมา จดจำไว้ในความทรงจำ

     ผมขับรถมุ่งต่อไปยังจุดหมายถัดไปของทริปนี้เลี้ยวไปตามถนน จากเส้นหลักก็กลายเป็นสองเลน
จากสองเลนก็กลายเป็นถนนชุมชนเก่าๆ ข้างทางมีแต่บ้านหลังเล็กๆ ไม่มีป้ายบอกทางแน่ชัด
ว่าเมืองเสมาไปทางไหน มีแต่ป้ายเล็กๆสีน้ำเงินชี้ขวาทีซ้ายที ผมเลี้ยวตามทางรถไฟ เข้าสู่ถนนชุมชน
เจอป้ายบอกทางเล็กๆให้เลี้ยวขวาไปเมืองเสมา สิ่งที่ได้พบเห็นเป็นสิ่งแรก ไม่ใช่ซากปลักหักพัง
แต่เป็นฝูงแพะเล็กๆ กับเจ้าของและสุนัขสามตัว ผมขับผ่านเข้าไปช้าๆ จอดแล้วเฝ้ามอง
แพะเดินกินหญ้าสดๆที่กำลังโตชุ่มน้ำอย่างสบายใจ ขณะเดียวกันถ้ามันเพลินจนออกนอกฝูง
สุนัขจะเห่าเพื่อให้แพะกลัว มันจะได้กลับเข้าฝูงของมันนั่นเอง

     ผมเดินเข้าไปอ่านที่ป้ายประวัติ กลิ่นอายความเก่าลอยเข้ามาเตะจมูกอย่างจัง ผมหยิบกล้องและเปิดเลนส์
ปล่อยให้มันเก็บภาพบรรยากาศดีๆแทนดวงตา ซากของสถานที่เก่าบ่งบอกว่าเรา มีวัฒนธรรมและสัมพันธ์
ที่แน่นแฟ้นกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่นเขมรตั้งแต่สมัยทวารวดี และผมถึงกับออกปากยอมรับว่า มันสวยจริงๆ

รูปภาพ

 

     ผมเดินสำรวจซากรอยของอารยธรรมเก่าสักพักก่อนจะปิดเลนส์กล้องแล้วกลับขึ้นรถ มุ่งตรงไปที่วัดพระนอน
จุดหมายสุดท้ายของเราวันนี้ ผมขับรถออกไปถึงปากทางเข้าเมืองเสมา และขับไปต่อจนถึงที่หมาย
วัดพระพุทธไสยาสน์วัดธรรมจักรเสมาราม หรือชาวบ้านแถวนั้นเรียกว่า “วัดพระนอน” นั่นเอง
ก่อนจะถึงวัดพระนอน ผมก็ต้องเจอสิ่งที่ไม่คาดหมาย นั่นก็คือน้ำท่วมถนนเกือบครึ่งเลน แต่ก็มีชาวบ้าน
นำรถมอเตอร์ไซด์มาจิดเต็มริมทาง ตอนนั้นผมก็ไม่รู้ว่าเขาเอามาจอดเพื่ออะไร หรือพบปะพูดคุยกันปกติ
ผมวนรถเพื่อหาที่จอดแต่มองหาพระนอนไม่เจอ เลยเดินไปถามแม่ค้าแถวนั้น แกยิ้มแล้วบอกว่า
“ช่วงนี่น้ำท่วมนะ คนไม่ค่อยมาหรอก ปาไม่กล้าเอาของลงเลย กลัวขายไม่ได้ น้ำจะท่วมอีก”
ด้วยภาษาถิ่นนั่นเอง ที่ทำให้ผมรู้สึกเป็นกันเองกับแกด้วยเวลาไม่กี่นาทีนั้น และแกยังบอกทาง
ที่จะไปกราบนมัสการและขอพรพระนอนที่ขึ้นชื่อด้วย “ไปทางนั้นน่ะหนุ่ม ไปเด้อ ไปขอพรท่าน”
แกบอกอีกครั้งด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า

รูปภาพ

     ผมยิ้มให้แล้วเดินไปตามทาง เห็นหลังคาวัดใหม่ๆ กับหญ้าเขียวๆ เมื่อผมเดินเข้าไปผมก็พบว่า
ฐานของพื้นวัดถูกทำเป็นพื้นไม้ยกสูงรอบตัวองค์พระ และมีรั้วล้อมองค์พระไว้ภายในมีองค์พระนอนตั้งอยู่
จะบอกว่าตั้งก็คงไม่ใช่ เพราะองค์พระราบนอนไปกับพื้น แลดูอบอุ่นและมีมนต์ขลัง ผมทำบุญยี่สิบบาท
หยิบชุดธูปเทียนกับดอกไม้มากราบไหว้ด้วยความเคารพตามมารยาทของสถานที่ กลิ่นควันจางๆของเครื่องบูชา
ทำเอาผมไม่อยากกลับจากสถานที่แห่งนี้เท่าไหร่นัก ไม่กี่ครั้งหรอกที่ผมจะมาที่วัด แล้วรู้สึกอบอุ่น
ได้มากมายถึงขนาดนี้ ผมเดินสำรวจแล้วกดชัตเตอร์เก็บภาพรายละเอียดองค์พระและบริเวณสถานที่
ก่อนที่กำลังจะกลับ ผมเจอกับผีเสื้อตัวหนึ่ง เค้าบินวนไปวนมาอยู่รอบๆตัวผมกับน้อง ปีกของเค้าสีส้มดำ
ผมแอบคิดว่า ที่บ้านผมไม่มีทางหาบรรยากาศแบบนี้ได้ง่ายๆแน่นอน ก่อนผมจะเดินขึ้นรถและปิดประตู
แม่ค้าที่แกมอบรอยยิ้มให้ผมเป็นคนแรก ก็โบกมือลาพร้อมกับพูดว่า “โชคดีนะลูกเอ๊ย ขอให้ได้รับแต่สิ่งดี”

     สุดท้ายนี้ ผมแอบคิดในใจอีกครั้งว่า การต้อนรับขับสู้นักท่องเที่ยวตาดำๆอย่างผมกับน้องอย่างเป็นกันเองขนาดนี้
จะมีสักกี่คนกันนะที่สร้างความประทับใจให้ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา โดยที่ไม่รู้จักกันได้มากมายขนาดนี้
ทริปวันนี้ไม่ได้ยาวนาน หรือมีอะไรพิเศษ มีแค่เพียงรากรอยวัฒนธรรมที่เคยเจริญรุ่งเรือง ความเชื่อและศรัทธาที่สวยงาม
และตบท้ายด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมความสุขของชาวบ้าน ผมบอกได้เลยว่าทริปนี้ มีแต่ความสุขที่ลอยอบอวนเต็มไปหมด

13 คิดบน “ทริป “แว่นขยาย”

ใส่ความเห็น